This post is also available in: English Indonesia
ภาพถ่ายหน้าจอของเว็บไซต์ VaxCertPH
ซึ่งเป็นระบบรับรองการฉีดวัคซีนของทางการฟิลิปปินส์
ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นต้นมา รัฐบาลทั่วโลกได้นำเทคโนโลยีบนสมาร์ตโฟนมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้ หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใช้แอปพลิเคชันติดตามผู้สัมผัส ซึ่งก่อให้เกิดข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการป้องกันโรคตามมา ความกังวลเหล่านี้ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเมื่อเกิด ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ซึ่งหลายประเทศเริ่มบังคับใช้แล้วสำหรับการเดินทางเข้าประเทศ การเดินทางท่องเที่ยว และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ โดยต้องมีการบันทึกข้อมูลที่ระบุตัวบุคคลได้และข้อมูลการรักษาพยาบาลของประชาชนจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างระบบวัคซีนพาสปอร์ตที่ว่านี้ขึ้นมา
เนื่องจากระดับการป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของวัคซีนที่ลดลงในหลายพื้นที่ เราจำเป็นต้องถกเถียงกันว่าวัคซีนพาสปอร์ตมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการบริหารจัดการโรคระบาดหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงแค่รูปแบบหนึ่งของการแก้ปัญหาแบบผิวเผิน ซึ่งมาพร้อมกับปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยอีกมากมายเท่านั้น
ฝ่ายสนับสนุนวัคซีนพาสปอร์ตระบุว่า ไม่ว่าวัคซีนพาสปอร์ตจะมีประสิทธิภาพในการจำกัดการแพร่ระบาดมากน้อยแค่ไหน แต่การบังคับใช้วัคซีนพาสปอร์ตก็ช่วยกระตุ้นอัตราการฉีดวัคซีนของประชาชน ซึ่งสามารถลดการแพร่ระบาดได้จริง ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยระบุว่ามาตรการแบบนี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางดิจิทัล และเป็นเพียงมาตรการป้องกันระดับรองเท่านั้น ไม่ใช่มาตรการหลัก นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จริยธรรม กฎหมาย และเทคโนโลยีอีกมากมายด้วยว่ามาตรการเหล่านี้ยิ่งทำให้ปัญหาการเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมในสังคมรุนแรงขึ้น
วัคซีนพาสปอร์ตถูกมองเป็นเหมือนยารักษาสารพัดโรค แต่ยังไม่มีหลักฐานด้านประสิทธิภาพที่ชัดเจน
ในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ประชาชนถูกขอให้แสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนเมื่อเข้าสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านทำผม หรือห้างสรรพสินค้า ที่บรูไน หลักฐานการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อยสองเข็มต้องถูกแสดงก่อนเข้าศาสนสถาน บางรัฐในออสเตรเลียกำหนดให้กิจกรรมบางอย่าง เช่น การพบปะเข้าสังคม การเข้าสถานบันเทิง เป็นสิ่งที่ถูกสงวนให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้น เช่นเดียวกับในอินโดนีเซียและฮ่องกงที่ภาครัฐกำลังพิจารณาให้สิทธิพิเศษผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วในลักษณะใกล้เคียงกัน
การมาถึงของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนยิ่งทำให้รัฐบาลหลายประเทศตอบสนองด้วยมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน พร้อมๆ ไปกับการติดตามสอดแนมชีวิตประจำวันของผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งในฟิลิปปินส์ออกมาตรการจำกัดการเดินทางหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการข่มขู่ว่าจะจับกุมผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย (ยกเว้นผู้ที่มีเอกสารหรือใบอนุญาตการเดินทาง)
ใบรับรองแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตรวจสอบได้ง่ายผ่าน QR code ทำให้วัคซีนพาสปอร์ตถูกนำมาใช้งานและขยายระบบได้อย่างรวดเร็วในงบประมาณที่ต่ำ ใบรับรองการฉีดวัคซีนในแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ใช้วิธีการจัดเก็บข้อมูลการฉีดวัคซีนของผู้ใช้ในรูปแบบ QR code ที่ผ่านการแฮชหรือการทำให้เป็นโทเคน โดยส่วนใหญ่เราจะเข้าถึง QR code เหล่านี้ได้ผ่านทางแอปพลิเคชันติดตามผู้สัมผัส เช่น BruHealth ของบรูไน PeduliLindungi ของอินโดนีเซีย หรือ MySejahtera ของมาเลเซีย
ประเทศ | ต้องใช้เพื่อเข้าสถานที่ต่างๆ ในประเทศ | ช่องทางการขอใบรับรองแบบดิจิทัล | ข้อมูลส่วนตัวบนใบรับรอง (นอกเหนือจากรายละเอียดการฉีดวัคซีน) | ใบรับรองที่ใช้ได้ (นอกเหนือจากใบรับรองแบบดิจิทัล) |
---|---|---|---|---|
ออสเตรเลีย | ต้องใช้ โดยกฎระเบียบจะแตกต่างกันในแต่ละรัฐและดินแดน | ระบบติดตามผู้สัมผัสของรัฐ, ระบบ My Health Record บนแอปฯ Healthi หรือ HealthNow, ผู้ให้บริการวัคซีน | ชื่อ, วันเกิด, เพศ, หมายเลขพาสปอร์ต | ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา, ใบรับรองแบบกระดาษ, ประวัติการฉีดวัคซีน |
บรูไน | ต้องใช้ | แอปฯ BruHealth | หมายเลขเวชระเบียน , ชื่อ, หมายเลขบัตรประชาชน,, หมายเลขพาสปอร์ต, อายุ, เพศ, วันเกิด, หมายเลขโทรศัพท์ | ใบรับรองแบบกระดาษ |
ฮ่องกง | ไม่ต้องใช้ (แต่กำลังมีการทบทวน) | แอปฯ LeaveHomeSafe, แอปฯ iAM Smart, แอปฯ eHealth, ศูนย์ฉีดวัคซีน | ชื่อ, วันเกิด, เพศ | ใบรับรองแบบกระดาษ |
อินเดีย | ไม่ต้องใช้ | แอปฯ Crown | ชื่อ, อายุ, เพศ, หมายเลขบัตรประชาชน, หมายเลขเวชระเบียน | ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา |
อินโดนีเซีย | ต้องใช้ สำหรับบางสถานที่หรือบางกิจกรรมในบางพื้นที่ | แอปฯ หรือเว็บไซต์ PeduliLindungi, ทาง SMS, ทาง WhatsApp | ชื่อ, หมายเลขบัตรประชาชน, วันเกิด | ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา |
มาเลเซีย | ต้องใช้ | แอปฯ MySejahtera | ชื่อ, สัญชาติ, หมายเลขบัตรประชาชน (พร้อมแสดงสถานที่เกิดและสัญลักษณ์เพศ), หมายเลขพาสปอร์ต, วันเกิด | ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา |
นิวซีแลนด์ | ต้องใช้ | เว็บไซต์ My Covid Record, ทางโทรศัพท์, ศูนย์ฉีดวัคซีน | ชื่อ, วันเกิด | ใบรับรองแบบกระดาษ, ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา |
ฟิลิปปินส์ | ต้องใช้ | เว็บไซต์ VaxCertPH | ชื่อ, วันเกิด, เพศ | ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา |
สิงคโปร์ | ต้องใช้ | แอปฯ HealthHub, แอปฯ TraceTogether | ชื่อ, หมายเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขพาสปอร์ต, วันเกิด | ใบรับรองแบบดิจิทัลที่พิมพ์ออกมา |
ตารางสรุประบบวัคซีนพาสฟอร์ตในประเทศต่างๆ (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม พ.ศ. 2565)
ความปลอดภัยทางดิจิทัล: ข้อมูลจำนวนมากเสี่ยงถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ใบรับรองการฉีดวัคซีนแบบดิจิทัลถือเป็นเอกสารระบุตัวตนประเภทหนึ่ง มาตรการที่กำหนดให้ประชาชนต้องใช้วัคซีนพาสปอร์ตสำหรับเช็กอินเพื่อเข้าสถานที่หลายๆ แห่งนั้น อาจกลายเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดการคุกคามและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้โดยง่าย โดยผู้ก่อเหตุทั้งที่เป็นภาครัฐและไม่ใช่ภาครัฐ
การทำให้ระบบวัคซีนพาสปอร์ตใช้งานได้จริงหมายความว่าการตรวจสอบความถูกต้องของช้อมูลเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลนั้นจำเป็นต้องทำได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่ง QR code ถือเป็นทางออกในจุดนี้ เมื่อผู้ใช้เชื่อมข้อมูลการฉีดวัคซีนของตนกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกสร้างและจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล อย่างไรก็ตาม การที่มีฐานข้อมูลกลางสำหรับเก็บและโอนย้ายข้อมูลเช่นนี้ถือว่าเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางดิจิทัลและความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะเมื่อไม่มีระบบป้องกันการควบคุมและเข้าถึงอย่างเข้มงวดและการเข้ารหัสที่หนาแน่นพอ
ที่อินโดนีเซีย ใบรับรองการฉีดวัคซีนของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ที่รั่วไหลออกมาก่อนหน้าทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลทางการแพทย์ในระบบ ขณะที่ในฟิลิปปินส์ ผู้ใช้หลายคนพบข้อผิดพลาดบนใบรับรองการฉีดวัคซีนของพวกเขา ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าระบบอาจมีปัญหาด้านการเข้ารหัสดิจิทัลและกระบวนการจัดเก็บข้อมูล
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เน้นย้ำให้เห็นถึงปัญหาและข้อบกพร่องทางเทคนิคของระบบวัคซีนพาสปอร์ตในหลายประเทศที่ยังพึ่งพาฐานข้อมูลกลาง ทั้งที่จริงแล้วยังมีระบบทางเลือกอื่นๆ ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ระบบตรวจสอบข้อมูลการฉีดวัคซีนแบบกระจายผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน
อีกประเด็นสำคัญหนึ่งคือความโปร่งใสและความรับผิดชอบ ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์รั่วไหลของข้อมูลจากระบบวัคซีนพาสปอร์ตขึ้น? นอกจากนี้ ยังควรมีการตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อความไม่โปร่งใสในการจัดเก็บและใช้งานข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการปกป้องข้อมูลส่วนตัวที่ครอบคลุมเพียงพอ เช่น บรูไนและอินโดนีเซีย
สิทธิดิจิทัลและกระบวนการตรวจสอบด้านจริยธรรม
การไม่เห็นด้วยกับวัคซีนพาสปอร์ตไม่ควรถูกตีตราว่าเป็นการต่อต้านการฉีดวัคซีน หากแต่เป็นการเรียกร้องให้มีการคำนึงถึงความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางดิจิทัลมากขึ้น ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจำเป็นต้องหาทางออกในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ควบคู่ไปกับการปกป้องสิทธิของประชาชน รัฐบาลต่างๆ รวมถึงบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการโรคระบาดต้องมีความรับผิดชอบและพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข้าถึงและใช้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนอย่างเกินขอบเขต
สำหรับวัคซีนพาสปอร์ตนั้น เราจำเป็นต้องสร้างกระบวนการตรวจสอบและตั้งคำถามต่อไปนี้:
- จุดประสงค์ที่แท้จริงของวัคซีนพาสปอร์ตคืออะไร? มันเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในวงกว้างที่ได้ผลจริงหรือไม่?
- ระบบวัคซีนพาสปอร์ตปกป้องข้อมูลส่วนตัวและความเป็นส่วนตัวของเราหรือไม่? ข้อมูลที่ระบุตัวบุคคลได้ประเภทใดบ้างที่ถูกเปิดเผย และถูกเปิดเผยต่อใคร? เรามีกฎหมายและเทคโนโลยีที่เพียงพอในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากการรั่วไหลแล้วหรือยัง?
- ระบบวัคซีนพาสปอร์ตสามารถเข้าถึงผู้ใช้ที่เป็นผู้ทุพพลภาพได้หรือไม่ เช่น ผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หรือผู้ที่มีทักษะทางสติปัญญาจำกัด และสำหรับกลุ่มคนชายขอบอย่างแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีใบอนุญาตและบุคคลไร้รัฐ ระบบวัคซีนพาสปอร์ตจะยิ่งเป็นการกีดกันพวกเขาไม่ให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นหรือเปล่า?
การเสนอมาตรการเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดไม่ว่าในรูปแบบใดจำเป็นต้องถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงแทนที่จะมีการนำมาบังคับใช้อย่างเร่งรีบและไม่ระมัดระวัง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันว่าเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้นั้นถูกต้องและเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และไม่เป็นการละเมิดสิทธิดิจิทัลและสิทธิมนุษยชนของประชาชน
Khairil Zhafri เป็นผู้จัดการด้านสิทธิดิจิทัลและเทคโนโลยีของ EngageMedia
Katerina Francisco ผู้ประสานงานกองบรรณาธิการของ EngageMedia มีส่วนในการเขียนบทความนี้
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขาได้ที่เว็บไซต์ของเรา